ความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไทย - กัมพูชา
1. ความร่วมมือภายใต้กรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย - กัมพูชา
มีการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1) การเปิดจุดผ่านแดนและการสัญจรข้ามแดน ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย - บ้านจุ๊บโกกี จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว
อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติตาพระยา โดยจะมีการก่อสร้างในพื้นที่เพื่อรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าเป็นจุดผ่านแดนถาวรช่องสายตะกู
2) การแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง โดยไทยมีการดำเนินการจัดทำแนวทาง/มาตรการ เพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พยูง
รวมถึงจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พยูงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
3) ความร่วมมือด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยฝ่ายไทยสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถในการติดตามตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสริมสร้างความร่วมมือ
กับฝ่ายกัมพูชาในเรื่องการจัดการปัญหาหมอกควันข้ามแดน การจัดการมลพิษทางน้ำ และมลพิษอื่น ๆ
ที่มา : https://burapatvonline.com/?p=35063
2. ความร่วมมือภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission: JC) ไทย – กัมพูชา
มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1) ส่งเสริมให้มีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 3 ด่าน ได้แก่ ช่องอานม้า บ้านท่าเส้น และช่องสายตะกู
2) ฝ่ายไทยเห็นชอบในการหาความเป็นไปได้เพื่อจัดหาสถานีเพื่อติดตามคุณภาพอากาศเคลื่อนที่แก่กัมพูชา รวมถึงสร้างขีดความสามารถ
ในด้านการแจ้งเตือนหมอกควันข้ามแดน ด้านการจัดการของเสีย การควบคุมมลพิษทางน้ำ การป้องกันและจัดการมลพิษ
3) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะจัดการประชุมเชิงวิชาการด้านการจัดการพื้นที่คุ้มครองข้ามพรมแดนภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการ
พื้นที่คุ้มครองและพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพข้ามพรมแดน
4) การประชุมความร่วมมือทางวิชาการไทย-กัมพูชา โดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) และกัมพูชาขอรับการสนับสนุน โครงการ Strengthening
the capacity of the protected areas management of the protected areas management and protection in Northern Tonle Sap Terrestrial
Protected Areas จากฝ่ายไทย โดยประเทศไทยยินดีสนับสนับสนุนโครงการดังกล่าวที่เสนอโดยราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 ปี
(ค.ศ. 2023 - 2025) มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองให้เป็นแหล่งผลิตอาหารของระบบนิเวศ ถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรม
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการจัดการพื้นที่คุ้มครอง การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อการลาดตระเวน งานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพโดยใช้กล้องติดตาม
(camera trap) การแลกเปลี่ยนการเยือนพื้นที่คุ้มครองระหว่างไทย-กัมพูชา การมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวังและลาดตระเวน การจัดการพื้นที่คุ้มครอง
และโครงการปลูกป่าบริเวณไทย - กัมพูชา เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งจะเป็นการเพิ่มแหล่งผลิตอาหารของระบบนิเวศและถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่าได้ในอีกทางหนึ่ง
5) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะใช้กฎหมายในการจัดการกับปัญหาการลักลอบตัดไม้ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธ
ต่อกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้ผิดกฎหมาย รวมถึงขับเคลื่อนการประสานการปฏิบัติผ่านการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา
และหน่วยงานระดับพื้นที่ เพื่อการป้องกัน ปราบปรามการตัดไม้ การขนส่ง การเก็บรวบรวม และการส่องออกไม้พะยูงของราชอาณาจักรกัมพูชา
กับคณะกรรมการป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูงตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชาของไทย
ที่มา : https://tica-thaigov.mfa.go.th/th/content
3. การประชุมคณะผู้ว่าราชการชายแดนไทย-กัมพูชา
1) การพัฒนาและเปิดจุดผ่านแดนเพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการค้า การท่องเที่ยวและการขนส่ง ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ - จุ๊บโกกี จังหวัดอุดรเมียเจย
โดยบริเวณดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติตาพระยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่มรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่
2) การป้องกันการลักลอบตัดไม้ผิดกฎหมาย การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับบทลงโทษของการค้าไม้ผิดกฎหมาย
3) การส่งเสริมความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ที่รวมถึงการปรับปรุงการจัดการขยะและของเสียบริเวณชายแดนทั้งทางน้ำและทางบก
4. ความร่วมมือภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการพื้นที่คุ้มครองและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
ข้ามพรมแดน ระหว่าง ราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) โดยสำนักอุทยานแห่งชาติ กับกรมการบริหารการอนุรักษ์และการปกป้องธรรมชาติ ราชอาณาจักรกัมพูชา
มีการดำเนินการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ PA และ TBL บนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยเมื่อเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2565 ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้แทนประเทศ
กัมพูชาผ่านทางออนไลน์ และลงพื้นที่ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก จ. ศรีสะเกษ เพื่อร่วมกันทำโป่งอาหารสัตว์ป่า และได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
โดยฝ่ายกัมพูชาต้องการเรียนรู้เรื่องการใช้เทคโนโลยีการลาดตระเวนจากประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พื้นที่และการอนุรักษ์ทรัพยากร
ในพื้นที่ รวมถึงความเป็นอยู่ของประชาชน